วัสดุอุปกรณ์สำหรับปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์
วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับลักษณะของการปลูก ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ ควรมีราคาไม่สูงมากนัก แต่มีคุณภาพดี และหาซื้อได้สะดวก นอกจากนี้ยังสามารถนำวัสดุสิ่งของเหลือใช้ต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในการปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์ได้อีกด้วย
โรงเรือน ในการปลูกพืชระบบไฮโดรโปรนิกส์ในเชิงการค้าจำเป็นต้องใช้โรงเรือนสำหรับเพาะกล้า อนุบาลกล้า และปลูก ซึ่งรูปแบบของโรงเรือนต้องเหมาะสม มีความแข็งแรง สามารถควบคุมภูมิอากาศภายในโรงเรือนให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของผักที่ปลูก พื่นที่ตั้งโรงเรือนต้องมีอากาศถ่ายเทดี มีการคมนาคมสะดวก มีแหล่งน้ำ และมีไฟฟ้า
แต่สำหรับการปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์ในบริเวณบ้านนั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงเรือนขนาดใหญ่ เพียงแต่สร้างโครงมุ้งเพื่อป้องกันแมลงและการกระแทกของน้ำฝนเท่านั้น
ภาชนะและวัสดุที่ใช้ปลูก
- ภาชนะที่ใช้ในการปลูก ควรเป็นภาชนะที่เหมาะสมต่อระบบปลูก มีความแข็งแรง และทำความสะอาดได้ง่าย นอกจากนี้ควรมีราคาถูก สะดวกต่อการใช้งาน
- วัสดุปลูก ต้องเป็นวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการให้ออกซิเจน ธาตุอาหารและช่วยการเจริญเติบโตของรากพืช ตลอดจนเป็นที่ยึดเกาะต้นพืช ลักษณะของวัสดุปลูกที่ดีคือ เป็นที่ยึดเกาะค่ำยันต้นพืช เป็นแหล่งสะสมน้ำและอาหาร และเป็นแหล่งให้อากาศแก่พืช
ปุ๋ยหรือธาตุอาหารพืช จัดว่าเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ เนื่องจากเป็นการจัดการในการให้ปุ๋ยเคมีต่างๆ เพื่อทดแทนธาตุอาหารที่มีอยู่ในดิน เพราะการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์เป็นการให้ผักที่ปลูกได้รับสารอาหารพืช หรือสารละลายธาตุอาหารพืช ที่ได้จากการนำธาตุอาหาร (แม่ปุ๋ย) ผสมกับน้ำ
น้ำ น้ำที่ใช้ต้องมาจากแหล่งน้ำที่ดี มีคุณภาพดีและมีปริมาณเพียงพอต่อการปลูก ก่อนที่นำมาใช้ในการปลูกควรมีการนำตัวอย่างน้ำไปตรวจคุณภาพเสียก่อน
ระบบไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าใช้เพื่อเป็นต้นกำลังของพลังงงานที่ขาดไม่ได้ ควรมีระบบไฟสำรองสำหรับบางช่วงที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า
ปั้ม ใช้สำหรับส่งและก่อให้เกิดการไหลเวียยนของสารละลายธาตุอาหารพืช และให้ออกซิเจนแก่รากพืช
เมล็ดพันธุ์พืช หรือกล้าพืชที่ใช้ปลูกควรเลือกพันธุ์ที่ตลาดต้องการ ต้นกล้ามีความสำคัญต่อการปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์มาก เนื่องจากทำให้พืชสามารถเจริญเติบโตและตั้งตัวเร็ว เมล็ดพันธุ์ที่ดีมีลักษณะตรงตามสายพันธุ์ มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูง การเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์นั้น ตามหลักการแล้วจะมีอยู่ 2 ประเภทที่จำหน่ายในท้องตลาด ได้แก่
- เมล็ดแบบไม่เคลือบ เมล็ดประเภทนี้จะผ่านการลดความชื่นมาแล้ว สามารถเก็บรักษาในตู้เย็นได้นานประมาณ 1-2 ปี และมาราคาถูกกว่าเมล็ดแบบเคลือบค่อนข้างมาก แต่อัตราการงอกและความสม่ำเสมอในการงอกจะสู้เมล็ดแบบเคลือยไม่ได้
- เมล็ดแบบเคลือบ เมล็ดชนิดนี้จะถูกนำมากระตุ้นให้เกิดการงอกก่อน แล้วจึงมาเคลือบด้วยดินเหนียว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของเมล็ดเอาไว้ ข้อดีของใช้เมล็ดแบบเคลือบคือ สะดวกในการเพาะเมล็ด อัตราการงอกสม่ำเสมอ ส่วนข้อเสียคือ ราคาแพง และมักพบแัญหาเมล็ดเสื่อมสภาพเร็วหากเก็บรักษาไม่ถูกวิธี เนื่องจากเมล็ดถูกกระตุ้นการงอกมาแล้ว ดังนั้น ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลาไม่เช่นนั้น เมล็ดจะเสื่อมสภาพค่อนข้างเร็ว
อุปกรณ์สำหรับตรวจวัดและควบคุมสารละลายธาตุอาหารพืช เครื่องมือตรวจวัดค่าความเป็นกรดด่างของสารละลายธาตุอาหาร (pH meter) และเครื่องมือวัดค่าการนำไฟฟ้าของสารละลายธาตุอาการพืช (EC meter)
ข้อมูลจาก หนังสือผักไฮโดรโปนิกส์ ฉบับชาวบ้าน